มิก-29 (อังกฤษ: MiG-29; รัสเซีย: МиГ-29) เป็นเครื่องบินขับไล่รุ่นที่สี่ซึ่งถูกออกแบบโดยสหภาพโซเวียตสำหรับบทบาทครองความเป็นเจ้าอากาศ มันถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2513
มิก-29 (อังกฤษ: MiG-29; รัสเซีย: МиГ-29) เป็นเครื่องบินขับไล่รุ่นที่สี่ซึ่งถูกออกแบบโดยสหภาพโซเวียตสำหรับบทบาทครองความเป็นเจ้าอากาศ มันถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2513 โดยมิโคยัน มันได้เข้าประจำการในกองทัพอากาศโซเวียตเมื่อปี พ.ศ. 2526 และยังคงถูกใช้โดยกองทัพอากาศรัสเซียเช่นเดียวกันกับหลาย ๆ ประเทศ เนโทเรียกมิก-29 ว่าฟัลครัม (Fulcrum ) ซึ่งถูกใช้อย่างไม่เป็นทางการโดยนักบินโซเวียต[1] มันถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อกรกับเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่ของสหรัฐฯ อย่างเอฟ-16 ไฟทิงฟอลคอน และเอฟ/เอ-18 ฮอร์เน็ท
หน้านี้ได้รับการปรับปรุงข้อมูล แก้ไข 11.09.2024
จากทีมงานชาวยูเครน ภาษาไทย
https://x.com/phinic037972599
เว็บไซท์ทางการของเรา ภาษาไทย
https://sites.google.com/view/ukraine-news1140/home
MIG-29 ยูเครน
ประวัติความเป็นมาของ MIG-29
ในปี พ.ศ. 2522 สหภาพโซเวียตได้เรียนรู้จากโครงการ"เอฟ-เอ็กซ์"ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้เกิดเอฟ-15 อีเกิลขึ้นมา ไม่นานผู้นำฝ่ายโซเวียตได้ตระหนักถึงเครื่องบินขับไล่ของอเมริกาที่อาจก้าวหน้ากว่าเครื่องบินขับไล่ของโซเวียต สิ่งที่ต้องการก็คือเครื่องบินขับไล่ที่ดีกว่าทั้งความรวดเร็วและระบบที่ทันสมัย เหล่านายพลโซเวียตได้ประกาศความต้องการพีเอฟไอ (รัสเซีย: Perspektivnyy Frontovoy Istrebitel, "เครื่องบินขับไล่สำหรับแนวหน้าที่ทันสมัย") รายละเอียดเฉพาะนั้นทะเยอทะยานอย่างมาก มันต้องมีพิสัยที่ไกล ทำงานในรันเวย์สั้นได้ มีความคล่องตัวสูง ทำความเร็วได้ตั้งแต่ 2 มัคขึ้นไป และมีอาวุธขนาดหนัก การออกแบบทางด้านอากาศพลศาสตร์ของเครื่องบินลำใหม่นี้ทำโดยทีเอสเอจีไอ (TsAGI) โดยร่วมมือกับซุคฮอย (สิ่งนี้ทำให้เกิดซุคฮอย ซู-27)
อย่างไรก็ดีในปี พ.ศ. 2524 โซเวียตตัดสินใจว่าเครื่องบินพีเอฟไอนั้นมีราคาแพงเกินไปที่จะสร้างให้ได้ตามความต้องการ และแบ่งความต้องการออกเป็นสองโครงการคือทีพีเอฟไอ (รัสเซีย: Tyazhyolyy Perspektivnyy Frontovoy Istrebitel, "เครื่องบินขับไล่ทางยุทธวิธีก้าวหน้าขนาดหนัก") และแอลพีเอฟไอ (รัสเซีย: Lyogkiy Perspektivnyy Frontovoy Istrebitel, "เครื่องบินขับไล่ทางยุทธวิธีก้าวหน้าขนาดเบา") มันคล้ายคลึงกับโครงการเครื่องบินขับไล่ขนาดเบาเอฟ-16 ไฟทิงฟอลคอน และวายเอฟ-17 คอบรา เครื่องบินขับไล่ขนาดหนักทำโดยซุคฮอยจนได้ซุคฮอย ซู-27 ขึ้นมา ในขณะที่เครื่องบินขับไล่ขนาดเบาทำโดยมิโคยัน มันมีชื่อว่ามิก-29 เอโดยเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2527 โดยทำการบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2530 เครื่องบินที่สร้างออกมาก่อนการผลิตถูกพบโดยดาวเทียมสอดแนมของสหรัฐ เมื่อเดือนพฤศจิกายนในปีนั้นเอง มันถูกเรียกว่าแรม-แอล (Ram-L) เพราะว่ามันถูกพบที่ศูนย์ทดสอบการบินซูคอฟสกีที่อยู่ใกล้กับเมื่องราเมนสคอย การพิจารณาในครั้งแรกแนะว่าแรม-แอลคล้ายคลึงกับวายเอฟ-17 คอบรา และใช้เครื่องยนต์ไอพ่นพร้อมสันดาปท้ายแบบทูแมนสกี อาร์-25
งแม้ว่าการล่าช้าของโครงการเกิดจากการสูญเสียเครื่องต้นแบบสองเครื่องในอุบัติเหตุ มิก-29 บีรุ่นผลิตก็ถูกส่งเข้าประจำการในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2526 ที่ฐานทัพอากาศคูบินคา การตกลงเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2527 และการส่งก็เริ่มขึ้นในปีเดียวกันให้กับกองทัพอากาศรัสเซีย
การทำงานแบ่งออกระหว่างทีพีเอฟไอกับแอลพีเอฟไอกลายเป็นมิก-29 ที่เข้าประจำการในแนวหน้าในกลางทศวรรษ 2523 ในขณะที่ซู-27 ได้รับงานที่อันตรายกว่าในการต่อสู้ทางอากาศกับเนโท มิก-29 ที่มีขนาดเล็กกว่าเข้ามาแทนที่มิก-23 ในบทบาทแนวหน้า มิก-29 ถูกวางตำนแห่งให้ใกล้กับแนวหน้า ทำงานน่านฟ้าของโซเวียต ล้อลงจอดและตะแกรงหน้าเครื่องยนต์ทำให้มิก-29 สามารถทำงานในสภาพที่ได้รับความเสียหายหรือซ่อมแซมอยู่ได้ มิก-29 ยังทำหน้าที่คุ้มกันให้กับการโจมตีทางอากาศ ปกป้องเครื่องบินจู่โจมภาคพื้นดินจากเครื่องบินขับไล่ของเนโทอย่างเอฟ-15 และเอฟ-16 มิก-29 ทำให้กองทัพบกของโซเวียตปลอดภัยจากด้านบน
ในด้านตะวันตกเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่ได้ชื่อจากเนโทว่าฟัลครัม-เอจากการสร้างก่อนการผลิตของมิก-29 เอ ซึ่งใช้ชื่อนี้มาก่อนในตอนที่ทางตะวันตกยังไม่รู้ถึงการมีอยู่ของมัน มิก-29 บีถูกส่งออกอย่างกว้างขวางโดยมีชื่อว่ามิก-29 บี 9-12 เอและมิก-29 บี 9-12 บี (สำหรับประเทศในสนธิสัญญาวอซอว์ และประเทศนอกกลุ่มตามลำดับ) พวกมันมีระบบอิเล็กทรอนิกส์อากาศที่ด้อยกว่าและไม่สามารถบรรทุกอาวุธนิวเคลียร์ได้ เครื่องบินถูกสร้างขึ้นทั้งหมดประมาณ 840 ลำ
รุ่นที่ดีกว่าของมิก-29 มีการพัฒนาด้านระบบอิเล็กทรอนิกส์อากาศที่ใช้โดยสหภาพโซเวียต แต่แบบอื่น ๆ ของมิโคยันที่รวมทั้งรุ่นสำหรับใช้บนเรือบรรทุกเครื่องบินที่มีชื่อว่ามิก-29 เคนั้นไม่เคยถูกสร้างออกมาในจำนวนมาก หลังยุคโซเวียตการพัฒนามิก-29 ได้รับอิทธิพลมาจากการแข่งขันของมิโคยันต่อคู่แข่งอย่างซุคฮอย บางรุ่นที่ก้าวหน้ายิ่งกว่าได้ทำการส่งออกและใช้โดยรัสเซีย รุ่นใหม่ที่ถูกเรียกว่ามิก-29 เอสเอ็มทีและมิก-29 เอ็ม 1/เอ็ม 2 กำลังอยู่ในการพัฒนา นอกจากนั้นแล้วการพัฒนาสำหรับรุ่นบนเรือบรรทุกเครื่องบินหรือมิก-29 เคนั้นถูกใช้ต่อไปโดยเรือบรรทุกเครื่องบินกอร์ชคอฟกองทัพเรืออินเดีย รุ่นนี้เดิมทีจะถูกใช้โดยเรือบรรทุกเครื่องบินคุซเนทซอฟ แต่ซุคฮอย ซู-30 ถูกใช้แทน
สหภาพโซเวียตไม่ได้ให้ชื่ออย่างเป็นทางการให้กับเครื่องบินส่วนใหญ่ ถึงแม้ว่าชื่อเล่นจะถูกใช้ก็ตาม น่าแปลกที่นักบินโซเวียตใช้คำว่าฟัลครัมของเนโทเรียกมัน และบางครั้งรัสเซียก็ใช้ชื่อนี้อย่างไม่เป็นทางการ
เพราะว่ามันถูกออกแบบมาจากเครื่องบินพีเอฟไอของทีเอสเอจีไอ มิก-29 จึงมีระบบอากาศพลศาสตร์ที่คล้ายคลึงกับซุคฮอย ซู-27 แต่มีข้อแตกต่างที่โดดเด่นกว่าบ้าง โครงสร้างส่วนใหญ่ทำมาจากอะลูมิเนียมและวัสดุผสม มันมีปีกแบบลู่ที่กลืนเข้ากับปีกเสริมที่ส่วนหน้าโดยทำมุม 40 องศา มันมีส่วนหางที่ลู่ไปทางด้านหลังและหางคู่ติดตั้งอยู่ที่ส่วนท้ายเครื่องยนต์ มันมีแพนปีกส่วนหน้าสี่ส่วนและห้าส่วนในรุ่นต่อ ๆ มา เมื่อมันถูกนำมาใช้งานมันเป็นเครื่องบินขับไล่เครื่องยนต์ไอพ่นแบบแรกของรัสเซียที่สามารถทำกระบวนท่าที่เรียกว่าปูกาเชฟส์คอบราได้
มิก-29 มีการควบคุมด้วยไฮดรอลิกและระบบนักบินอัตโนมัติเอสเอยู-451 แต่ไม่เหมือนกันซู-27 ตรงที่มันไม่มีระบบฟลาย-บาย-ไวร์ ถึงกระนั้นมันก็มีความว่องไวและการเลี้ยวที่ยอดเยี่ยม มันสามารถทำมุมปะทะได้ในระดับอัลฟา และมีการต้านทานการหมุน โครงสร้างถูกทำให้สามารถรับแรง 9 จีได้ การควบคุมมีการจำกัดเพื่อป้องกันไม่ให้นักบินทำแรงมากกว่า 9 จี แต่ก็สามารถปลดระบบนี้ออกได้ ในการฝึกของกองทัพอากาศสหรัฐร่วมกับกองทัพอากาศเยอรมนี มิก-29 ของฝ่ายเยอรมนีได้เอาชนะเอฟ-16 ในการต่อสู้ระยะใกล้แทบจะทุกครั้งด้วยการใช้เซ็นเซอร์ไออาร์เอสทีและหมวกแสดงภาพ พร้อมกับขีปนาวุธวิมเปล อาร์-73
มิก-29 มีเครื่องยนต์คลิมอฟ อาร์ดี-33 ขนาดใหญ่สองเครื่องยนต์ที่ให้อัตราแรงขับ 11,240 ปอนด์ และ 18,277 ปอนด์เมื่อใช้สันดาปท้าย พื้นที่ระหว่างเครื่องยนต์มีไว้เพื่อลดน้ำหนักที่ปีกเพื่อเพิ่มความคล่องตัว เครื่องยนต์มีช่องรับลมทรงลิ่มที่อยู่ใต้ปีกเสริม ซึ่งมีส่วนลาดเอียงที่ปรับได้เพื่อทำความเร็วเหนือเสียงได้ เมื่อมีการนำมาใช้กับสนามบินที่ขรุขระ ช่องรับลมหลักจะถูกปิดสนิทและใช้ช่องรับลมสำรองที่ด้านบนของลำตัวแทนสำหรับการวิ่งขึ้น ลงจอด หรือบินในระดับต่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้มีเศษอะไรเข้าไปในเครื่องยนต์จนเกิดความเสียหาย ดังนั้นเครื่องยนต์จึงได้รับอากาศผ่านช่องบานเกล็ดบนปีกเสริมซึ่งจะเปิดโดยอัตโนมัติเมื่อช่องรับลมหลักถูกปิด อย่างไรก็ตามในแบบล่าสุดของตระกูลมิก คือมิก-35 ได้นำส่วนบานเกล็ดนี้ออกไปและใช้ช่องรับลมที่มีตะแกรงแทน ซึ่งคล้ายคลึงกับของซู-27[2]
ถึงแม้เครื่องยนต์จะให้กำลังสูงมากพอที่จะทำให้เครื่องบินสามารถไต่ระดับได้เหนือกว่าเครื่องบินของกองทัพอมเริกา แต่อายุการใช้งานก็สั้นมาก ต้องทำการตรวจเช็คทุก ๆ 350 ชั่วโมงบินเป็นอย่างน้อย
ความจุเชื้อเพลิงภายในของมิก-29 บีนั้นมีเพียง 4,365 ลิตรโดยแบ่งเป็นหกส่วนในถังเชื้อเพลิง สี่ส่วนในลำตัว และหนึ่งส่วนในปีกแต่ละข้าง ผลที่ได้คือเครื่องบินมีพิสัยที่จำกัดมากเมื่อเทียบกับเครื่องบินขับไล่ป้องกันเฉาะบริเวณของโซเวียตแบบดั้งเดิม เพื่อให้ทำการบินได้นานมากขึ้นสิ่งนี้สามารถเพิ่มได้โดยใช้ถังเชื้อเพลิงกลางที่ปลดได้ขนาด 1,500 ลิตร และถังเชื้อเพลิงข้างที่ปลดได้ขนาด 1,150 ลิตรสองถังโดยติดตั้งไว้ใต้ปีก นอกจากนี้มีส่วนน้อยที่ใช้ระบบเติมเชื้อเพลิงทางอากาศ มิก-29 บีบางลำมีโครงสร้างที่ถูกพัฒนามาเพื่อเป็นแบบที่เรียกว่า"แฟตแบ็ค" (Fatback) (มิก-29 9-13) ซึ่งเพิ่มเชื้อเพลิงภายในไปในส่วนแกนกลาง แม้ว่าจะไม่มีลำใดก็ตามที่เข้าประจำการ
ห้องนักบินมีจุดเด่นคือคันบังคับตรงกลางและคันเร่งที่ด้านข้าง นักบินจะนั่งอยู่ในเก้าอี้ดีดตัวแบบซเวซดา เค-36 ดีเอ็ม ซึ่งมีการทำงานที่ดีมากในเหตุฉุกเฉิน
ห้องนักบินมีหน้าปัดอำนวยความสะดวกพร้อมกับหน้าจอฮัดหรือเฮด-อัพ ดิสเพลย์ และหน้าจอติดหมวกแบบชเชล-2 ยูเอ็ม ดูเหมือนว่าจะเป็นการเน้นไปที่การทำห้องนักบินให้เหมือนกับมิก-23 และเครื่องบินลำอื่น ๆ ของโซเวียตเพื่อความสะดวกในการเปลี่ยนแปลงมากกว่าความสะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ถึงกระนั้นมิก-29 มีมุมมองที่ดีกว่าเครื่องบินขับไล่ลำอื่น ๆ ของรัสเซียเพราะฝาครอบทรงโค้งที่อยู่ในตำแหน่งสูง
ส่วนสำคัญของมิก-29 บีคือระบบควบคุมการยิงด้วยเรดาร์แบบอาร์แอลพีเค-29 ของพาโซตรอน ซึ่งรวมทั้งเรดาร์คลื่นพัลส์แบบติดตามแล้วยิงรุ่นเอ็นโอ 19 และคอมพิวเตอร์ดิจิทัลรุ่นทีเอส 100.02-02 เอ็นไอ 19 เอรุ่นเดิมถูกคาดว่าจะใช้กับมิก-29 แต่กลับไม่ตรงตามมาตรฐานในโครงการสร้างเครื่องบินขับไล่ใหม่ พิสัยติดตามต่อเป้าหมายขนาดเครื่องบินขับไล่มีเพียง 70 กิโลเมตรเท่านั้น พิสัยต่อเป้าหมายขนาดเครื่องบินทิ้งระเบิดน้อยมากกว่านั้นเกือบเท่าตัว เป้าหมายสิบเป้าหมายสามารถปรากฏขึ้นในรูปแบบตรวจจับ แต่เรดาร์จะล็อกเพียงหนึ่งเป้าหมายสำหรับขีปนาวุธกึ่งเรดาร์ ตัวประมวลผลสัญญาณยังมีปัญหากับความวุ่นวายบนพื้นดิน ปัญหาเหล่านี้ทำให้มิก-29 ไม่ดีพอที่จะใช้กับขีปนาวุธพิสัยไกลรุ่นใหม่วิมเปล อาร์-27 อาร์ในพิสัยสูงสุดของมันได้
ข้อด้อยเหล่านี้มีมากขึ้นเมื่อความจริงของเรดาร์เอ็นโอ 19 ที่ว่ามันไม่ใช่การออกแบบใหม่ ระบบนั้นพัฒนามาจากแซปเย 2-23 เอ็มแอลของเดิมที่มีอยู่แล้ว ในการออกแบบมิก-29 เริ่มแรกทางพาโซตรอนได้รับมอบหมายให้สร้างเรดาร์ที่ทันสมัยขึ้นให้กับมิก-29 เพื่อเร่งการพัฒนาพาโซตรอนจึงใช้แบบจากโครงการอื่นที่บริษัทอื่น ตามที่กล่าวเอ็นโอ 19 เดิมทีนั้นตั้งใจที่จะเป็นเสาอากาศเรียบและมีการใช้สัญญาณดิจิทัลเต็มรูปแบบ ทำให้มีพิสัยตรวจจับและติดตาม 100 กิโลเมตรต่อเครื่องบินขับไล้ ไม่นานการทดสอบและต้นแบบก็เผยให้เห็นว่าสิ่งนี้ไม่สามารถทำสำเร็จได้ในเวลาที่จำกัด อย่างน้อยก็ไม่ใช่เรดาร์ซึ่งอยู่ที่ส่วนจมูกของมิก-29 มากกว่าที่จะเป็นแบบใหม่ทั้งหมดพาโซตรอนได้ดัดแปลงรุ่นก่อนหน้าของแซปเฟีย-23 เอ็มแอลเพื่อลดเวลาและราคา ระบบนี้ใช้หน่วยประมวลผลแอนะล็อกแบบเดียวกันกับรุ่นก่อนหน้า พร้อมกับคอมพิวเตอร์ดิจิทัลทีเอส 100 ขณะที่การตัดสินใจครั้งนี้จะสร้างเรดาร์ให้กับเครื่องบินใหม่ได้ทัน แต่มันก็มีจุดอ่อนของรุ่นก่อนหน้าทั้งหมด
การทำงานที่บกพร่องเหล่านี้เกิดจากความจริงที่ว่าเรดาร์เอ็นโอ 19 นั้นที่จริงแล้วไม่ใช่การออกแบบใหม่ มันคือระบบที่พัฒนามาจากระบบเก่าที่มีอยู่แล้ว ในตอนแรกผู้สร้างเรดาร์ได้รับมอบหมายให้สร้างเรดาร์ที่ทันสมัยขึ้นสำหรับมิก-29 แต่เพื่อความรวดเร็วทางพาซาตรอนจึงได้ใช้แบบเก่ามาทำใหม่ เรดาร์เอ็นโอ 19 นั้นเดิมทีจะมีเสาอากาศแบบแบนและการประมวลผลสัญญาณแบบดิจิทัล ทำให้การตรวจจับและพิสัยการตรวจจับอย่างน้อย 100 กิโลเมตรลำหรับเป้าหมายขนาดเครื่องบินขับไล่ การพัฒนาเทคโนโลยีการบินของโซเวียตตอนนั้นเป็นเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน การทดสอบและต้นแบบก็ทำให้รู้ว่ามันจะต้องเสร็จภายในเวลาที่จำกัด แทนที่การออกแบบเรดาร์จะเป็นแบบใหม่ทั้งหมด ทางพาโซตรอนได้ดัดแปลงระบบเก่ามาใช้แทนเพื่อประหยัดเวลาและเงิน ระบบนี้ใช้หน่วยประมวลผลแบบแอนาล็อกเช่นเดียวกับเก่า พร้อมด้วยคอมพิวเตอร์ทีเอส 100 ในขณะที่การตัดสินใจนี้เป็นการสร้างเรดาร์ให้กับเครื่องบินแบบใหม่ มันก็ได้นำไปสู่จุดอ่อนต่าง ๆ ของแบบเก่า แม้ว่าจะมีการออกแบบเรดาร์เอ็นโอ10 ขึ้นมา แต่มิก-29 ส่วนใหญ่ที่ยังประจำการอยู่นั้นก็ยังใช้เรดาร์เอ็นโอ19 ต่อไป แม้ว่าตามโครงการต้องการที่จะให้พัฒนาเครื่องบินมิก-29 ให้เข้าขั้นสมบูรณ์ก็ตาม
เรดาร์เอ็นโอ 19 เดิมได้รับการดูแลโดยนักออกแบบที่ได้ทรยศไปอยู่กับฝ่ายซีไอเอ ต่อมาเขาถูกประหารในปี พ.ศ. 2529 เพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหมดทางโซเวียตรีบทำการพัฒนาเรดาร์เอ็นโอ 19 เอ็มขึ้นมาให้กับมิก-29 เอส อย่างไรก็ตามโครงการก็ยังไม่พอใจในการทำงานของระบบและต้องการให้ทำการพัฒนาเพิ่ม การพัฒนาล่าสุดคือเอ็มโอ 10 ซึ่งมีเสาอากาศราบมากกว่าเป็นแบบจานกลม มีพิสัยที่มากขึ้น ความสามารถในการปะทะเป้าหมายจำนวนมากในเวลาเดียวกัน และสามารถใช้วิมเปล อาร์-7 ได้ จุดเด่นที่มีประโยชน์ของมิก-29 ที่เหมือนกับซู-27 คือเลเซอร์หาระยะและระบบไออาร์เอสทีที่อยู่ในส่วนคล้ายลูกตาที่ด้านหน้าห้องนักบิน มันต้องพึ่งเรดาร์ในบางครั้งหรืออาจไม่ต้องใช้เรดาร์เลย
อาวุธของมิก-29 มีทั้งปืนใหญ่อากาศจีเอสเอช-30-1 ขนาด 30 ม.ม.หนึ่งกระบอกที่โคนปีก เดิมทีนั้นมันใช้แมกกาซีน 150 นัดซึ่งต่อมาได้ลดเหลือ 100 นัด มิก-29 บีแบบเดิมนั้นไม่สามารถทำการยิงปืนได้เมื่อติดตั้งถังเชื้อเพลิงตรงกลางเพราะว่ามันจะไปบังช่องดีดกระสุน ต่อมาได้มีการแก้ไขในมิก-29 เอส และรุ่นต่อ ๆ มา มีจุดติดตั้งสามจุดใต้ปีกแต่ละข้าง (บางแบบก็สี่) จุดติดตั้งภายในสามารถติดตั้งถังเชื้อเพลิงขนาด 1,150 ลิตร ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยกลางวิมเปล อาร์-27 หนึ่งลูก หรือระเบิดหรือจรวด เครื่องบินบางลำของโซเวียตสามารถบรรทุกระเบิดนิวเคลียร์ไว้ภายในได้ จุดติดตั้งภายนอกมักติดตั้งขีปนาวุธวิมเปล อาร์-73 แม้ว่าบางครั้งจะมีการใช้มอลนิยา อาร์-60 ที่เก่ากว่า ถังเชื้อเพลิงขนาด 1,500 ลิตรหนึ่งถังสามารถติดเข้าไปที่ส่วนกลางระหว่างเครื่องยนต์สำหรับการบินขนส่ง (การบินส่งมอบเครื่องบิน) แต่จะไม่ใช้ในการต่อสู้ มิก-29 บีสามารถบรรทุกระเบิดทั่วไปและจรวด แต่จะไม่มีอาวุธนำวิถี รุ่นที่ได้รับการพัฒนาจะสามารถใช้ระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ได้เช่นเดียวกับขีปนาวุธอากาศสู่พื้น
สหภาพโซเวียตได้ส่งออกมิก-29 ให้กับประเทศที่กำลังพัฒนาหลายประเทศ เนื่องมาจากว่าเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 4 นั้นต้องบินโดยนักบิน โครงสร้างระบบการป้องกัน และการดูแลรักษาที่ดี มิก-29 จึงมีหน้าที่ในกองทัพอากาศมากมาย[3] ตัวอย่างเช่น ในขณะที่มิก-29 มีประวัติการทำงานที่ดีในกองทัพอากาศอินเดียซึ่งลงทุนอย่างมากในด้านอากาศยาน แต่มันก็ทำหน้าที่ได้ไม่ดีนักในกองทัพอากาศของอิรักและยูโกสลาเวีย
มิก-29 ถูกพบเห็นโดยสาธารณะครั้งแรกในฝั่งตะวันตกเมื่อสหภาพโซเวียตนำมันไปแสดงที่ฟินแลนด์ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2529 มิก-29 อีกสองลำถูกจัดแสดงในงานฟาร์นโบโรที่สหราชอาณาจักรเมื่อเดือนกันยายนปี พ.ศ. 2531 ปีต่อมามันได้แสดงการบินในงานแสดงที่ปารีสเมื่อปี พ.ศ. 2531 ที่ได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นในสัปดาห์แรกของการแสดง[4] ผู้เฝ้ามองฝั่งตะวันตกประทับใจในความสามารถและความคล่องแคล่วของมัน เมื่อโซเวียตล่มสลายมิก-29 ส่วนมากเข้าประจำการในกองทัพอากาศรัสเซีย
ในวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2551 จอร์เจียได้กล่าวโทษมิก-29 ของรัสเซียที่ยิงอากาศยานไร้คนขับเฮอร์เมส 450 ของพวกเขาตกและได้ทำการบันทึกวิดีโอที่แสดงให้เห็นว่ามิก-29 ที่กำลังยิงขีปนาวุธใส่ ทางรัสเซียปฏิเสธว่าเป็นเครื่องบินของพวกเขาและกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้ทำการบินใด ๆ เลยในวันนั้น กลุ่มแบ่งแยกดินแดนในอับคาเซียอ้างว่าพวกเขาเป็นผู้ที่ยิงยูเอวีตกด้วยแอโร แอล-39 อัลบาทรอสเพราะว่ามันบินล้ำเข้ามาในน่านฟ้าของพวกเขา[5] การสืบสวนของสหประชาชาติสรุปได้ว่าวิดีโอเป็นของจริงและ UAV ถูกยิงโดยมิก-29 หรือซู-27 ของรัสเซียโดยใช้ขีปนาวุธติดตามความร้อนวิมเปล อาร์-73[6]
กองทัพอากาศรัสเซียได้สั่งระงับการบินมิก-29 ทั้งหมดหลังจากเหตุการณ์เครื่องบินตกในเซอร์เบียเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551[7] หลังจากการตกครั้งที่สองของมิก-29 ในเซอร์เบียในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551[8][9] ทางการรัสเซียยอมรับว่ามิก-29 ส่วนใหญ่ในกองทัพอากาศของตนไม่สามารถทำหน้าที่ได้เนื่องจากการซ่อมบำรุงที่ไม่ดี อายุการใช้งานของเครื่องบินประมาณ 70% ถูกจัดว่าเก่าเกินไปที่จะทำการบิน[10] มิก-29 ของรัสเซียไม่ได้รับการพัฒนาตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต นั่นก็เพราะกองทัพอากาศรัสเซียเลือกที่จะพัฒนาซู-27 และมิก-31 แทน ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 กองทัพอากาศรัสเซียได้กลับมาใช้มิก-29 อีกครั้ง[11] อย่างไรก็ดีในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 มิก-29 จำนวน 91 ลำของกองทัพอากาศรัสเซียต้องการการซ่อมแซมหลังจากการตรวจสอบ มิก-29 ประมาณ 100 ลำผ่านการตรวจและให้บินต่อได้[12][13]
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น